คุณค่าทางโภชนาการ
ผักโขมเป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย นี่คือรายละเอียดของสารอาหารหลักที่พบในผักโขม:
1. วิตามินและแร่ธาตุ
- วิตามิน A: ช่วยในการบำรุงสายตา เสริมสร้างการเจริญเติบโตของเซลล์ และเสริมระบบภูมิคุ้มกัน
- วิตามิน C: มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
- วิตามิน K: ช่วยในการแข็งตัวของเลือดและเสริมสร้างสุขภาพของกระดูก
- ธาตุเหล็ก: สำคัญต่อการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงและช่วยให้ร่างกายส่งออกซิเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- โฟเลต: จำเป็นต่อการสังเคราะห์ DNA และการแบ่งตัวของเซลล์ มีประโยชน์มากสำหรับหญิงตั้งครรภ์ในการพัฒนาระบบประสาทของทารก
2. ใยอาหาร
ผักโขมมีปริมาณใยอาหารสูง ช่วยในการย่อยอาหารและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การบริโภคใยอาหารอย่างเพียงพอช่วยส่งเสริมสุขภาพของระบบทางเดินอาหารและลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2
3. แอนติออกซิแดนท์
ผักโขมมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคจอประสาทตาเสื่อมและปกป้องดวงตาจากแสงสีฟ้า นอกจากนี้ยังช่วยลดการอักเสบและปกป้องเซลล์จากความเสียหาย
4. แคลอรี่ต่ำ
ผักโขมมีแคลอรี่ต่ำ แต่เต็มไปด้วยสารอาหารที่มีความหนาแน่น ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรือมองหาอาหารที่มีปริมาณแคลอรี่น้อยแต่มีสารอาหารสูง
5. แคลเซียมและแมกนีเซียม
แร่ธาตุเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง แมกนีเซียมยังมีความสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท
ประโยชน์จากการบริโภค
ด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่หลากหลาย การบริโภคผักโขมสามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพในหลายด้าน เช่น การป้องกันโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งบางชนิด และสนับสนุนสุขภาพของระบบประสาทและสมอง
การเพิ่มผักโขมลงในอาหารประจำวันไม่เพียงแต่ช่วยให้ได้รับสารอาหารที่จำเป็น แต่ยังช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวมและทำให้ร่างกายแข็งแรงในระยะยาว
แนวทางการปลูกผักโขม
การปลูกผักโขม (Spinach) เป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศเย็นและดินที่มีคุณภาพดี นี่คือแนวทางในการปลูกผักโขม:
1. การเลือกสถานที่
- แสงแดด: ผักโขมชอบแสงแดดเต็มที่ แต่สามารถปลูกได้ในที่ที่มีแสงแดดบางส่วนได้เช่นกัน
- ดิน: ควรเลือกดินที่ร่วนซุย ระบายน้ำดี และมีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ระหว่าง 6.0-7.0
- พื้นที่ปลูก: เลือกพื้นที่ที่มีการระบายน้ำดี และไม่มีน้ำท่วมขัง
2. การเตรียมดิน
- ขุดดินให้ร่วนซุย และเติมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก เพื่อเพิ่มสารอาหารให้กับดิน
- การปรับสภาพดินด้วยปูนขาวหากดินมีความเป็นกรดสูงจะช่วยให้ดินมี pH เหมาะสม
3. การเพาะเมล็ด
- วิธีการเพาะเมล็ด: การปลูกสามารถทำได้โดยการเพาะเมล็ดลงในแถวหรือลูกคลุม (spacing) ระหว่าง 20-30 เซนติเมตร
- ระยะการปลูก: หยอดเมล็ดลงในดินลึกประมาณ 1-2 เซนติเมตร แล้วกลบด้วยดินเบาๆ
- เวลาในการปลูก: ควรปลูกในช่วงที่อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 15-20 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาวหรือฤดูฝนที่อากาศเย็น
4. การดูแล
- การรดน้ำ: รดน้ำให้เพียงพอในช่วงเช้าหรือเย็น หลีกเลี่ยงการรดน้ำในตอนกลางวันเพื่อป้องกันไม่ให้ใบไหม้
- การใส่ปุ๋ย: ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูงเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของใบ
- การกำจัดวัชพืช: คอยกำจัดวัชพืชเพื่อไม่ให้แย่งสารอาหารจากพืช
5. การเก็บเกี่ยว
- อายุการเก็บเกี่ยว: ผักโขมสามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่อมีอายุประมาณ 30-45 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพการเจริญเติบโตและพันธุ์ที่ปลูก
- วิธีการเก็บเกี่ยว: ใช้กรรไกรตัดใบจากต้น หรือดึงทั้งต้นขึ้นมา หากต้องการเก็บเกี่ยวทั้งต้น
6. ปัญหาที่อาจพบ
- แมลงและโรค: อาจพบแมลงเช่น เพลี้ยแป้งหรือโรคเชื้อรา เช่น โรคราแป้ง ควรใช้สารชีวภัณฑ์หรือสารเคมีที่ได้รับการอนุญาตจากกรมวิชาการเกษตรในการควบคุม
- การใส่ปุ๋ย: การให้ปุ๋ยที่มากเกินไปอาจทำให้ต้นโตเร็วเกินไปและอาจเกิดการยืดของต้นหรือมีใบที่ไม่สมบูรณ์
การปลูกผักโขมสามารถทำได้ทั้งในพื้นที่ขนาดเล็กและใหญ่ เพียงแค่มีการดูแลที่ดีและเลือกพันธุ์ที่เหมาะสมก็สามารถได้ผลผลิตที่ดีค่ะ
5 อันดับเมนูผักโขมยอดฮิต
เมนูผักโขมที่นอกจากจะอร่อยแล้วยังดีต่อสุขภาพก็มีหลายรูปแบบ ที่สามารถนำมาปรับใช้ในมื้ออาหารของคนรักสุขภาพได้ ดังนั้นนี่คือ 5 อันดับเมนูผักโขมยอดฮิต ที่ทั้งอร่อยและดีต่อสุขภาพ:
ผักโขมอบชีส
ผักโขมอบชีสเป็นหนึ่งในเมนูยอดฮิตสำหรับคนรักสุขภาพที่ต้องการรสชาติอร่อยและคุณค่าทางอาหารที่ครบถ้วน เมนูนี้เป็นการผสมผสานระหว่างความหอมมันของชีสและเนื้อสัมผัสนุ่มของผักโขม ซึ่งช่วยให้มื้ออาหารนั้นไม่เพียงแต่อร่อย แต่ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์
ส่วนผสมหลัก
- ผักโขมสด: ประมาณ 2-3 ถ้วยล้างสะอาดและสะเด็ดน้ำ
- ชีสมอซซาเรลลา: 1 ถ้วย (ขูดเป็นเส้น)
- ครีมชีส: ประมาณ 100 กรัม
- กระเทียมสับ: 2-3 กลีบ
- หัวหอมใหญ่ (สับ): ครึ่งหัว
- เนย: 1 ช้อนโต๊ะ
- พาร์เมซานชีส: ¼ ถ้วย (สำหรับโรยหน้า)
- เกลือและพริกไทย: ตามรสชาติ
วิธีทำ
- เตรียมผักโขม: ลวกผักโขมในน้ำเดือดประมาณ 1-2 นาทีจนสุก จากนั้นนำไปแช่ในน้ำเย็นเพื่อหยุดการสุก บีบน้ำออกให้มากที่สุดและสับหยาบ
- ผัดกระเทียมและหัวหอม: ตั้งกระทะบนไฟกลาง ใส่เนยลงไปละลาย แล้วตามด้วยกระเทียมและหัวหอม ผัดจนหอมและใส
- ผสมผักโขมและชีส: ใส่ผักโขมลงไปในกระทะ ผัดผสมกับหัวหอมและกระเทียม เติมครีมชีสลงไปและคนจนละลายเข้ากัน ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย
- เตรียมอบ: ตักส่วนผสมใส่ถาดอบหรือถ้วยอบเล็ก ๆ โรยมอซซาเรลลาและพาร์เมซานชีสด้านบนให้ทั่ว
- อบ: นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส อบประมาณ 15-20 นาที หรือจนชีสด้านบนละลายและมีสีทองน่ารับประทาน
- เสิร์ฟ: นำออกจากเตาอบและพักไว้เล็กน้อย เสิร์ฟร้อน ๆ พร้อมขนมปังหรือทานเดี่ยว ๆ เป็นอาหารว่าง
เคล็ดลับในการทำ
- สามารถเพิ่มเบคอนหรือไก่สับลงในผักโขมเพื่อเพิ่มโปรตีน
- หากต้องการเพิ่มความเข้มข้นของรสชาติ ลองใส่พริกป่นหรือพริกไทยดำบดหยาบเล็กน้อย
ผักโขมอบชีสเป็นเมนูที่ทำได้ง่ายและเป็นที่ชื่นชอบของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ทั้งวิตามิน A, C, และแคลเซียมจากชีส ช่วยให้เป็นเมนูที่ตอบโจทย์สำหรับมื้อที่ต้องการพลังงานและความอร่อยในหนึ่งเดียว
สลัดอะโวคาโด ทูน่า และผักโขม
สลัดอะโวคาโด ทูน่า และผักโขมเป็นเมนูที่มีความสดชื่น เต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งโปรตีนจากทูน่า ไขมันดีจากอะโวคาโด และวิตามินต่าง ๆ จากผักโขม เหมาะสำหรับมื้ออาหารเพื่อสุขภาพที่ช่วยให้พลังงานและความอิ่มท้องได้อย่างยาวนาน
ส่วนผสม
- ผักโขมสด: 2 ถ้วย ล้างสะอาดและสะเด็ดน้ำ
- อะโวคาโด: 1 ลูก ปอกเปลือกและหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ
- ทูน่าในน้ำแร่หรือน้ำมันมะกอก: 1 กระป๋อง สะเด็ดน้ำ
- มะเขือเทศเชอร์รี่: 1 ถ้วย ผ่าครึ่ง
- หอมใหญ่แดง: ½ หัว หั่นบาง
- มะนาว: 1 ลูก บีบเป็นน้ำสำหรับน้ำสลัด
- น้ำมันมะกอก: 2 ช้อนโต๊ะ
- เกลือและพริกไทย: ปรุงรสตามชอบ
- เมล็ดแฟลกซ์หรืองาดำ (optional): สำหรับโรยเพิ่มคุณค่าทางอาหาร
วิธีทำ
- เตรียมผักและส่วนผสม: นำผักโขม อะโวคาโด มะเขือเทศเชอร์รี่ และหอมใหญ่แดงจัดใส่ชามสลัด
- เตรียมทูน่า: ใส่ทูน่าที่สะเด็ดน้ำแล้วลงไปในชามสลัด ผสมเบา ๆ เพื่อไม่ให้ชิ้นทูน่าแตกละเอียด
- ทำน้ำสลัด: ผสมน้ำมันมะกอก น้ำมะนาว เกลือ และพริกไทยเข้าด้วยกันในชามเล็ก แล้วราดบนสลัด
- คลุกเคล้า: ค่อย ๆ คลุกส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน ระวังไม่ให้ชิ้นอะโวคาโดแตก
- เสิร์ฟและตกแต่ง: โรยเมล็ดแฟลกซ์หรืองาดำด้านบนเพื่อเพิ่มความกรุบกรอบและคุณค่าทางโภชนาการ
เคล็ดลับ
- การใช้อะโวคาโดที่สุกกำลังดีจะทำให้รสชาติและเนื้อสัมผัสของสลัดสมบูรณ์แบบ
- สามารถเพิ่ม ถั่วต่าง ๆ เช่น อัลมอนด์สไลซ์ หรือเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เพื่อเพิ่มรสชาติและโปรตีน
- หากต้องการรสชาติที่เข้มข้นขึ้น ลองเพิ่มชีสเฟต้าเล็กน้อย
ประโยชน์ของเมนูนี้
- อะโวคาโด: มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่ดีต่อหัวใจ และวิตามิน E ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ
- ทูน่า: เป็นแหล่งโปรตีนที่ดีและมีโอเมก้า-3 ที่ช่วยบำรุงสมองและระบบหัวใจ
- ผักโขม: อุดมไปด้วยวิตามิน A, C, และ K รวมถึงแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ช่วยบำรุงร่างกาย
สลัดอะโวคาโด ทูน่า และผักโขมเป็นเมนูที่เหมาะสำหรับมื้อเบา ๆ ที่ช่วยให้รู้สึกสดชื่นและอิ่มท้องอย่างพอดี ลองทำเองที่บ้านเพื่อความสดใหม่และปรับสูตรให้ถูกปาก
สมูทตี้ผักโขมและสับปะรด
สมูทตี้ผักโขมและสับปะรดเป็นเครื่องดื่มที่สดชื่นและเต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เหมาะสำหรับการเริ่มต้นวันใหม่หรือการเพิ่มพลังงานระหว่างวัน สับปะรดมีวิตามิน C สูงและช่วยเพิ่มความหวานธรรมชาติให้กับเครื่องดื่ม ในขณะที่ผักโขมมีวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ
ส่วนผสม
- ผักโขมสด: 1 ถ้วย ล้างสะอาดและสะเด็ดน้ำ
- สับปะรดสด: 1 ถ้วย หั่นเป็นชิ้นเล็ก
- กล้วย: 1 ลูก (เพื่อเพิ่มความหวานและเนื้อสัมผัสนุ่มนวล)
- น้ำมะพร้าวหรือน้ำเปล่า: 1 ถ้วย (ตามความชอบ)
- น้ำแข็ง: ½ ถ้วย (หรือตามต้องการ)
- น้ำผึ้ง: 1 ช้อนชา (ถ้าต้องการเพิ่มความหวาน)
วิธีทำ
- เตรียมส่วนผสม: ใส่ผักโขม สับปะรด กล้วย น้ำมะพร้าว และน้ำแข็งลงในเครื่องปั่น
- ปั่นสมูทตี้: ปั่นด้วยความเร็วสูงจนส่วนผสมเนียนและเข้ากันดี
- ชิมและปรับรส: หากต้องการให้หวานขึ้น สามารถเติมน้ำผึ้งแล้วปั่นต่ออีกเล็กน้อย
- เสิร์ฟ: เทสมูทตี้ใส่แก้ว พร้อมดื่มทันทีเพื่อความสดชื่นและรสชาติที่ดีที่สุด
เคล็ดลับ
- หากต้องการเนื้อสัมผัสที่เข้มข้นขึ้น สามารถใส่ โยเกิร์ตธรรมชาติ ½ ถ้วยเพื่อเพิ่มความครีมมี่
- เติม เมล็ดเจียหรือเมล็ดแฟลกซ์ เพื่อเพิ่มไฟเบอร์และโปรตีน
- การใช้ น้ำมะพร้าวแช่เย็น จะช่วยเพิ่มความสดชื่นและรสชาติที่หอมหวานจากธรรมชาติ
ประโยชน์ของสมูทตี้ผักโขมและสับปะรด
- ผักโขม: อุดมไปด้วยวิตามิน A, C, K และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
- สับปะรด: มีเอนไซม์โบรมีเลนที่ช่วยย่อยอาหารและลดการอักเสบ รวมถึงวิตามิน C ที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนและบำรุงผิว
- กล้วย: ให้พลังงานและเพิ่มความหวานธรรมชาติ มีโพแทสเซียมที่ช่วยควบคุมความดันโลหิต
สมูทตี้ผักโขมและสับปะรดนี้เป็นเมนูที่เหมาะสำหรับทุกคนที่มองหาเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ทำง่ายและอร่อย ลองทำดื่มที่บ้านเพื่อรับประโยชน์จากผักและผลไม้สด ๆ ทุกวัน!
ผัดผักโขมกับกระเทียม
ผัดผักโขมกับกระเทียมเป็นเมนูที่ทำง่าย รวดเร็ว และอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ผักโขมมีสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินต่าง ๆ ที่ช่วยบำรุงร่างกาย ส่วนกระเทียมมีคุณสมบัติช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและป้องกันโรคต่าง ๆ เมนูนี้เหมาะสำหรับมื้ออาหารเบา ๆ ที่อร่อยและดีต่อสุขภาพ
ส่วนผสมหลัก
- ผักโขมสด: 2-3 ถ้วย ล้างสะอาดและสะเด็ดน้ำ
- กระเทียมสับ: 3-4 กลีบ
- น้ำมันมะกอก: 1-2 ช้อนโต๊ะ (หรือสามารถใช้เนยได้)
- เกลือและพริกไทย: สำหรับปรุงรส
- น้ำมันงา (optional): 1 ช้อนชา (เพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติ)
- น้ำเปล่า: 2-3 ช้อนโต๊ะ (ใช้เล็กน้อยเพื่อผัดผักโขม)
วิธีทำ
- เตรียมผักโขม: ล้างผักโขมให้สะอาดและสะเด็ดน้ำ จากนั้นหั่นเป็นชิ้นขนาดพอดีคำ
- ผัดกระเทียม: ตั้งกระทะบนไฟกลาง ใส่น้ำมันมะกอกลงไป เมื่อร้อนแล้ว ใส่กระเทียมสับลงไปผัดจนหอม
- ใส่ผักโขม: ใส่ผักโขมที่เตรียมไว้ลงในกระทะ ผัดให้เข้ากันจนผักโขมเริ่มหดตัวและนิ่ม (ใช้ตะหลิวคนเบา ๆ เพื่อไม่ให้ผักโขมเละ)
- ปรุงรส: ใส่เกลือและพริกไทยตามรสชาติ และเติมน้ำเปล่าลงไปเล็กน้อยเพื่อให้ผักโขมนุ่มขึ้น
- ผัดต่อ: ผัดต่ออีกประมาณ 2-3 นาทีจนผักโขมสุกนุ่ม
- เสิร์ฟ: เมื่อลงตัวแล้วสามารถเสิร์ฟได้ทันทีเป็นอาหารจานหลักหรือเป็นกับข้าวเคียงกับอาหารจานอื่น
เคล็ดลับในการทำ
- หากต้องการเพิ่มความหอมและรสชาติที่หลากหลาย สามารถเพิ่มพริกขี้หนูสับเล็กน้อยหรือขิงสดสับลงไปผัดร่วมกับกระเทียม
- การเติมน้ำมันงาเล็กน้อยหลังผัดเสร็จช่วยเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติที่น่าสนใจ
- หากต้องการทำให้ผัดผักโขมมีความกรอบมากขึ้น สามารถเพิ่มถั่วลิสงคั่วหรือเมล็ดทานตะวันลงไปโรยหน้า
ประโยชน์จากผัดผักโขมกับกระเทียม
ผัดผักโขมกับกระเทียมเป็นเมนูที่ช่วยเสริมสุขภาพ โดยผักโขมเป็นแหล่งของ วิตามิน A และ วิตามิน C ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและบำรุงสายตา ขณะที่กระเทียมมีสาร อัลลิซิน ซึ่งช่วยลดการอักเสบและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ ยังเป็นเมนูที่ แคลอรี่ต่ำ ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรือรักษาสุขภาพในระยะยาว
ผัดผักโขมกับกระเทียมจึงเป็นเมนูที่ทั้งอร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก!
แกงจืดผักโขมเต้าหู้
แกงจืดผักโขมเต้าหู้เป็นเมนูที่ทำง่ายและดีต่อสุขภาพ ด้วยความเรียบง่ายและรสชาติอร่อย เมนูนี้มีทั้งความเบาและรสชาติที่เข้มข้นจากการใช้ผักโขมและเต้าหู้ ซึ่งเป็นแหล่งของโปรตีนและวิตามินที่ช่วยบำรุงร่างกาย เหมาะสำหรับมื้อเย็นหรือมื้อเบา ๆ ที่เต็มไปด้วยสารอาหาร
ส่วนผสมหลัก
- ผักโขมสด: 2 ถ้วย ล้างสะอาดและสะเด็ดน้ำ
- เต้าหู้ขาว (หรือเต้าหู้เนื้อนุ่ม): 1 ก้อน หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ
- น้ำซุปผักหรือซุปไก่: 4 ถ้วย (เลือกน้ำซุปที่ไม่มันเพื่อสุขภาพ)
- กระเทียมสับ: 2 กลีบ
- หอมใหญ่ (สับ): ½ หัว
- เกลือ: 1 ช้อนชา (ปรับตามรสชาติ)
- พริกไทยขาว: เล็กน้อย
- น้ำมันงา (optional): 1 ช้อนชา (เพิ่มกลิ่นหอม)
- เห็ด (optional): ½ ถ้วย หั่นเป็นชิ้น (เช่น เห็ดหอม หรือเห็ดนางฟ้า)
วิธีทำ
- เตรียมน้ำซุป: ใส่น้ำซุปลงในหม้อ ตั้งไฟให้เดือด
- ผัดกระเทียมและหอมใหญ่: ตั้งกระทะใส่น้ำมันงา (ถ้าใช้) ให้ร้อน ใส่กระเทียมและหอมใหญ่ลงไปผัดจนหอม
- เติมซุป: เมื่อกระเทียมและหอมใหญ่สุกแล้ว ใส่ส่วนผสมนี้ลงในหม้อน้ำซุป
- ใส่เต้าหู้และเห็ด: ใส่เต้าหู้หั่นชิ้นลงไปในหม้อ ตามด้วยเห็ด (ถ้าใช้) แล้วเคี่ยวไปประมาณ 5-10 นาที
- ใส่ผักโขม: ใส่ผักโขมสดลงไปในหม้อ เมื่อผักโขมเริ่มเหี่ยว ให้เติมเกลือและพริกไทยตามรสชาติ
- ต้มต่อ: ต้มต่อประมาณ 2-3 นาทีจนผักโขมสุกและน้ำซุปซึมซาบรสชาติ
- เสิร์ฟ: เสิร์ฟในชามร้อน ๆ เป็นอาหารที่อร่อยและเต็มไปด้วยสารอาหาร
เคล็ดลับในการทำ
- ถ้าชอบซุปที่มีรสชาติเข้มข้นขึ้น สามารถเติมน้ำมันหอยหรือน้ำปลาเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติ
- สำหรับคนที่ไม่ทานมังสวิรัติ สามารถเพิ่มเนื้อสัตว์ เช่น หมูสับหรือไก่สับลงไปในซุปเพื่อเพิ่มโปรตีน
- การเลือกใช้ น้ำซุปผัก หรือ น้ำซุปไก่ ที่ไม่มีสารปรุงรสช่วยให้เมนูนี้มีรสชาติที่เป็นธรรมชาติและดีต่อสุขภาพ
ประโยชน์จากแกงจืดผักโขมเต้าหู้
เมนูนี้อุดมไปด้วย โปรตีนจากเต้าหู้ ที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและซ่อมแซมเซลล์ รวมถึง วิตามิน A จากผักโขมที่ช่วยบำรุงสายตาและระบบภูมิคุ้มกัน อีกทั้งยังมี แคลเซียม ที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
เครื่องผัดอาหาร
เครื่องผัดอาหาร คืออุปกรณ์หรือเครื่องจักรที่ออกแบบมาเพื่อช่วยในการผัดข้าวโดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะในการทำอาหารจำนวนมากหรือการปรุงอาหารในเชิงพาณิชย์ มักใช้ในร้านอาหาร โรงอาหาร หรือธุรกิจอาหารที่ต้องผลิตอาหารในปริมาณมาก เครื่องผัดข้าวจะมีลักษณะคล้ายกระทะขนาดใหญ่ที่สามารถหมุนหรือคนข้าวได้อย่างอัตโนมัติ ทำให้การปรุงอาหารเป็นไปอย่างสม่ำเสมอและรวดเร็ว