
กิมจิ ถือเป็นอาหารหมักดองที่มีรากฐานลึกซึ้งในวัฒนธรรมเกาหลี ทั้งในแง่ของการรับประทานและวิถีชีวิตที่เชื่อมโยงกับความเป็นอยู่ของคนเกาหลีมาตั้งแต่สมัยโบราณ กิมจิไม่ใช่แค่อาหาร แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการดำรงชีวิตในสังคมเกาหลี ที่แสดงถึงความแข็งแกร่งและความทนทานของผู้คนผ่านช่วงเวลาของฤดูหนาวที่ยากลำบาก
กิมจิคืออะไร?
กิมจิเป็นอาหารที่เกิดจากการหมักผัก โดยใช้ส่วนผสมหลักอย่าง ผักกาดขาว หรือผักอื่นๆ เช่น หัวไชเท้า แตงกวา ผสมกับเครื่องปรุงรส เช่น เกลือ กระเทียม ขิง พริกป่นเกาหลี (โกชูการู) และน้ำปลา หลังจากนั้นจะนำไปหมักไว้ให้จุลินทรีย์ตามธรรมชาติเจริญเติบโต ทำให้เกิดการหมักและเปลี่ยนรสชาติไปอย่างซับซ้อน
สิ่งที่ทำให้กิมจิเป็นเอกลักษณ์คือรสชาติที่หลากหลาย ทั้งเปรี้ยว เค็ม เผ็ด และหวานตามธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากกระบวนการหมักที่ยาวนาน และเป็นผลมาจากปฏิกิริยาของแบคทีเรียกรดแลคติกที่มีประโยชน์

ประวัติศาสตร์และความสำคัญทางวัฒนธรรม
ต้นกำเนิดของกิมจิสามารถย้อนไปได้ถึงช่วงก่อนคริสต์ศักราชในสมัย โคกูรยอ ซึ่งเป็นยุคที่เริ่มมีการถนอมอาหารด้วยวิธีการหมักดองเพื่อให้เก็บไว้ได้นานโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่ไม่มีผักสดให้เก็บเกี่ยว เมื่อเวลาผ่านไป กิมจิได้พัฒนาไปตามยุคสมัยและการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์และสังคม ในสมัย โชซอน มีการใช้พริกแดงจากโปรตุเกสที่นำเข้ามาผสมลงในกิมจิ ทำให้เกิดกิมจิแบบเผ็ดที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน
กิมจิไม่เพียงแต่เป็นอาหารหมักเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตการทำอาหารในครัวเรือนแบบเกาหลีที่เรียกว่า กิมจัง (Kimjang) ซึ่งเป็นการทำกิมจิในปริมาณมากเพื่อเตรียมสำหรับฤดูหนาว ถือเป็นกิจกรรมที่ชุมชนหรือครอบครัวจะมารวมตัวกันทำด้วยกัน เพื่อแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือและความสามัคคี
รวมสูตรการทำ “กิมจิ” ในรูปแบบต่างๆ
สูตรการทำกิมจิแบบดั้งเดิม
กิมจิเป็นอาหารที่ทำจากการหมักผักด้วยส่วนผสมที่เป็นเอกลักษณ์ของเกาหลี รสชาติของกิมจิจะมีความเปรี้ยว เผ็ด และเค็มผสมกันอย่างลงตัว สูตรนี้จะใช้ผักกาดขาวเป็นวัตถุดิบหลัก แต่สามารถปรับเปลี่ยนวัตถุดิบตามความชอบได้
วัตถุดิบ
- ผักกาดขาว 1 หัวใหญ่ (ประมาณ 1-1.5 กิโลกรัม)
- เกลือทะเลหยาบ ½ ถ้วย (สำหรับดองผัก)
- น้ำเปล่า 10 ถ้วย (สำหรับแช่ผัก)
ส่วนผสมน้ำปรุงรสกิมจิ
- พริกป่นเกาหลี (โกชูการู) 1/2 – 1 ถ้วย (ปริมาณตามความชอบเผ็ด)
- น้ำปลา ¼ ถ้วย
- กระเทียมสับละเอียด 8 กลีบ
- ขิงสับ 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
- กุ้งเค็มเกาหลี (ไม่จำเป็น) 1 ช้อนโต๊ะ (หรือใช้กุ้งแห้งเล็กๆ)
- หัวไชเท้าหั่นเป็นเส้น 1 ถ้วย
- ต้นหอมหั่นท่อน 4-5 ต้น
- แครอทหั่นเป็นเส้น 1 ถ้วย (เพิ่มสีสันและรสชาติ)
ขั้นตอนการทำ
-
การเตรียมผักกาดขาว
- ผ่าผักกาดขาว: ผ่าผักกาดขาวครึ่งแล้วตัดออกเป็น 4 ส่วนโดยไม่ตัดถึงโคนผัก
- แช่เกลือ: นำผักกาดขาวที่ผ่าแล้วไปแช่ในน้ำเกลือ โดยโรยเกลือลงระหว่างชั้นใบผักอย่างทั่วถึง
- แช่น้ำเกลือ: นำผักกาดขาวแช่ในน้ำเกลือทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง จนผักเริ่มเหี่ยว แต่ยังคงมีความกรอบ
- ล้างผัก: เมื่อครบเวลา ให้ล้างผักกาดขาวด้วยน้ำสะอาด 2-3 รอบเพื่อล้างเกลือออก จากนั้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
-
การทำน้ำปรุงรส
- เตรียมเครื่องปรุง: ผสมพริกป่นเกาหลี น้ำปลา กระเทียม ขิง น้ำตาล และกุ้งเค็มในชามขนาดใหญ่
- เติมผักเสริม: ใส่หัวไชเท้า แครอท และต้นหอมที่หั่นเตรียมไว้ลงในน้ำปรุง คลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากันดี
-
การคลุกผักกับน้ำปรุงรส
- คลุกผักกับน้ำปรุง: ใช้มือ (สวมถุงมือเพื่อป้องกันความเผ็ด) ทาน้ำปรุงรสลงระหว่างชั้นใบของผักกาดขาวทีละชั้นให้ทั่วถึง
-
การหมักกิมจิ
- บรรจุกิมจิลงภาชนะ: หลังจากคลุกเคล้าส่วนผสมเข้ากับผักกาดขาวแล้ว นำกิมจิใส่ในขวดหรือโถที่มีฝาปิดมิดชิด
- หมัก: ปล่อยให้กิมจิหมักไว้ที่อุณหภูมิห้อง 1-2 วัน จากนั้นเก็บในตู้เย็นเพื่อหยุดกระบวนการหมัก และเก็บรักษาความสด กิมจิจะเริ่มพร้อมรับประทานได้หลังจากหมักในตู้เย็นประมาณ 5-7 วัน แต่ถ้าหมักไว้นานขึ้นรสชาติจะเปรี้ยวมากขึ้น
เคล็ดลับเพิ่มเติม
- ปริมาณของ โกชูการู (พริกป่นเกาหลี) สามารถปรับได้ตามความชอบ หากต้องการเผ็ดมาก ให้เพิ่มปริมาณ
- กิมจิสามารถทำได้หลากหลายสูตร เช่น กิมจิแตงกวา หรือ กิมจิหัวไชเท้า โดยปรับเปลี่ยนผักตามความชอบ
- หากต้องการให้กิมจิมีรสชาติที่กลมกล่อมขึ้น ควรหมักไว้อย่างน้อย 2 สัปดาห์ รสชาติจะยิ่งลึกและซับซ้อน
กิมจิที่ทำเองที่บ้านนอกจากจะสดใหม่และสะอาดแล้ว ยังสามารถปรับรสชาติให้ถูกใจได้ตามต้องการ เมื่อทำเสร็จแล้วสามารถเก็บไว้ได้นานและสามารถนำไปใช้ประกอบอาหารอื่นๆ ได้หลายเมนู เช่น ข้าวผัดกิมจิ ซุปกิมจิ หรือกินเป็นเครื่องเคียงกับอาหารหลัก


สูตรกิมจิโคชูจัง (Gochujang Kimchi)
กิมจิโคชูจัง เป็นกิมจิที่ใช้ โคชูจัง (Gochujang) ซึ่งเป็นซอสพริกเกาหลีที่มีรสชาติเผ็ดหวาน เป็นส่วนประกอบหลักในน้ำปรุงรส ทำให้ได้กิมจิที่มีรสชาติเข้มข้น หอมเผ็ดจากพริกและหวานเล็กน้อย ซึ่งแตกต่างจากกิมจิแบบดั้งเดิมที่ใช้พริกป่นโกชูการู (Gochugaru) โดยตรง
วัตถุดิบ
สำหรับผักดอง
- ผักกาดขาว 1 หัวใหญ่ (ประมาณ 1-1.5 กิโลกรัม)
- เกลือทะเลหยาบ ½ ถ้วย (สำหรับดองผัก)
- น้ำเปล่า 10 ถ้วย (สำหรับแช่ผัก)
สำหรับน้ำปรุงรส
- โคชูจัง (Gochujang) ¼ ถ้วย (หรือปรับตามความเผ็ดที่ต้องการ)
- น้ำปลา ¼ ถ้วย
- กระเทียมสับละเอียด 6-8 กลีบ
- ขิงสับ 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ (เสริมรสเปรี้ยว)
- หัวไชเท้าหั่นเป็นเส้น 1 ถ้วย
- ต้นหอมหั่นท่อน 4-5 ต้น
- แครอทหั่นเป็นเส้น 1 ถ้วย (สำหรับเพิ่มสีสัน)
ขั้นตอนการทำ
-
การเตรียมผักกาดขาว
- ผ่าผักกาดขาว: ผ่าผักกาดขาวเป็น 4 ส่วนตามยาว โดยไม่ตัดให้ขาดออกจากโคน
- ดองผักกาดขาว: โรยเกลือทะเลลงระหว่างชั้นของใบผักกาดขาวให้ทั่ว นำไปแช่ในน้ำเกลือทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมงจนผักเหี่ยว
- ล้างผัก: ล้างผักกาดขาวด้วยน้ำสะอาดหลายครั้ง เพื่อเอาเกลือส่วนเกินออก จากนั้นพักผักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
-
การทำน้ำปรุงรส
- ในชามขนาดใหญ่ ผสม โคชูจัง น้ำปลา กระเทียม ขิง น้ำตาล น้ำส้มสายชู ให้เข้ากันดี
- เติมหัวไชเท้า แครอท และต้นหอมที่หั่นไว้ลงในน้ำปรุงรส คลุกเคล้าให้เข้ากัน
-
การคลุกผักกับน้ำปรุงรส
- ใช้มือ (สวมถุงมือเพื่อป้องกันความเผ็ด) ทาน้ำปรุงรสลงระหว่างชั้นใบของผักกาดขาวทีละชั้น จนผักกาดขาวถูกคลุกเคล้าด้วยน้ำปรุงทั้งหมด
-
การหมักกิมจิ
- นำกิมจิที่คลุกน้ำปรุงรสแล้วใส่ลงในภาชนะที่ปิดสนิท เช่น โถแก้วหรือภาชนะที่มีฝาปิด
- หมักที่อุณหภูมิห้องประมาณ 1-2 วัน เพื่อให้กิมจิเริ่มมีการหมักและรสชาติเข้มข้นขึ้น จากนั้นนำไปเก็บในตู้เย็น
- กิมจิโคชูจังจะเริ่มพร้อมรับประทานหลังจากหมักในตู้เย็นประมาณ 5-7 วัน รสชาติจะเข้มข้นและลงตัวมากขึ้นเมื่อหมักไว้นานขึ้น
เคล็ดลับ
- สามารถปรับปริมาณ โคชูจัง ให้มากหรือน้อยตามระดับความเผ็ดที่ต้องการ หากชอบรสชาติที่เผ็ดมากขึ้น อาจเพิ่มพริกป่นเกาหลี (โกชูการู) ลงไปเสริมด้วย
- น้ำส้มสายชู ช่วยเพิ่มรสเปรี้ยวแบบสดชื่นให้กับกิมจิ หากชอบรสเปรี้ยวจัดจ้านสามารถเพิ่มน้ำส้มสายชูได้
- กิมจิที่ใช้ โคชูจัง จะมีรสชาติที่หวานนุ่มกว่าและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวของซอสพริกโคชูจัง
กิมจิโคชูจังสามารถรับประทานเป็นเครื่องเคียงกับอาหารจานหลัก หรือใช้เป็นวัตถุดิบในเมนูอื่นๆ เช่น ข้าวผัดกิมจิ หรือซุปกิมจิ มอบความอร่อยและรสชาติที่หลากหลาย
สูตรกิมจิแตงกวา (Oi Kimchi)
กิมจิแตงกวา หรือ โออิ กิมจิ (Oi Kimchi) เป็นกิมจิที่ใช้แตงกวาเป็นส่วนผสมหลัก ซึ่งเป็นกิมจิที่สดชื่นและมีรสชาติที่กรอบเปรี้ยวและเผ็ด ทำง่ายและใช้เวลาในการหมักไม่นาน เหมาะกับการกินเป็นเครื่องเคียงคู่กับอาหารหลัก โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน
วัตถุดิบ
- แตงกวา 5-6 ลูก (ประมาณ 500 กรัม)
- เกลือทะเล 1 ช้อนโต๊ะ (สำหรับดองแตงกวา)
- น้ำเปล่า (สำหรับล้างแตงกวา)
ส่วนผสมสำหรับน้ำปรุงรส
- พริกป่นเกาหลี (โกชูการู) 2 ช้อนโต๊ะ (ปรับตามความชอบเผ็ด)
- กระเทียมสับละเอียด 4 กลีบ
- ขิงสับ 1 ช้อนชา
- น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
- น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ (เพิ่มรสเปรี้ยว)
- ต้นหอมหั่นท่อน 2 ต้น
- หัวไชเท้าหั่นเป็นเส้น ½ ถ้วย (เสริมความกรอบ)
- แครอทหั่นเป็นเส้น ½ ถ้วย (เพิ่มสีสัน)
ขั้นตอนการทำ
-
การเตรียมแตงกวา
- ล้างแตงกวา: ล้างแตงกวาให้สะอาด แล้วหั่นแตงกวาเป็นท่อนขนาดประมาณ 4-5 เซนติเมตร จากนั้นผ่ากลางเป็นสี่ส่วน โดยไม่ให้ขาดจากกันทั้งหมด คงส่วนโคนไว้เล็กน้อย
- ดองเกลือ: นำแตงกวาไปคลุกเกลือ 1 ช้อนโต๊ะให้ทั่ว วางพักไว้ประมาณ 30 นาที เพื่อให้แตงกวาคลายน้ำออกมาและมีความกรอบ
- ล้างแตงกวา: ล้างแตงกวาที่ดองเกลือออกด้วยน้ำสะอาด แล้วพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
-
การทำน้ำปรุงรส
- ในชามผสม ใส่ พริกป่นเกาหลี กระเทียม ขิง น้ำปลา น้ำตาล น้ำส้มสายชู และผักที่เตรียมไว้ (หัวไชเท้า แครอท และต้นหอม) คลุกเคล้าให้เข้ากันดี
-
การคลุกแตงกวากับน้ำปรุงรส
- นำแตงกวาที่สะเด็ดน้ำแล้วมาคลุกกับน้ำปรุงรส โดยพยายามให้ส่วนผสมเข้าไปในช่องแตงกวาที่ผ่าไว้ คลุกให้ทั่วจนแตงกวาซึมซับรสชาติ
-
การหมักกิมจิแตงกวา
- ใส่แตงกวาที่ปรุงรสแล้วลงในภาชนะที่ปิดสนิท เช่น โถแก้วหรือภาชนะพลาสติก
- หมักไว้ที่อุณหภูมิห้องประมาณ 1-2 ชั่วโมง หลังจากนั้นสามารถเก็บในตู้เย็นได้ และควรรับประทานภายใน 3-5 วัน เพื่อความสดกรอบของแตงกวา
เคล็ดลับเพิ่มเติม
- เวลาในการหมัก: กิมจิแตงกวาไม่ควรหมักนานเกินไป เพราะแตงกวาจะสูญเสียความกรอบ ควรรับประทานในระยะเวลาสั้นๆ เพื่อให้ได้ความสดชื่น
- สามารถเติม งาขาวคั่ว ลงไปหลังจากหมักเสร็จเพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติ
- หากต้องการรสชาติเผ็ดขึ้น สามารถเพิ่ม โกชูการู (พริกป่นเกาหลี) หรือเติมพริกสดหั่นลงไปได้
กิมจิแตงกวา เป็นกิมจิที่ทำง่าย ใช้เวลาในการหมักไม่นานและมีรสชาติสดชื่น เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบอาหารที่กรอบและไม่ต้องการรสชาติที่เข้มข้นเกินไป

คุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์ต่อสุขภาพของกิมจิ
กิมจิ เป็นอาหารหมักดองที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย วัตถุดิบหลักของกิมจิ เช่น ผักกาดขาว หัวไชเท้า และเครื่องปรุงต่างๆ ล้วนเป็นส่วนประกอบที่มีคุณค่าทางอาหาร เมื่อผ่านกระบวนการหมัก กิมจิยังช่วยเสริมสร้างโปรไบโอติกส์ ซึ่งเป็นแบคทีเรียดีที่ส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร

คุณค่าทางโภชนาการของกิมจิ (ต่อ 100 กรัม)
- แคลอรี: 15-30 แคลอรี (ขึ้นอยู่กับสูตร)
- โปรตีน: 1-2 กรัม
- ไขมัน: น้อยกว่า 1 กรัม
- คาร์โบไฮเดรต: 3-4 กรัม
- ไฟเบอร์: 1-2 กรัม
- วิตามินซี: ประมาณ 20 มิลลิกรัม (ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน)
- วิตามินเอ: ประมาณ 20-30% ของความต้องการประจำวัน
- วิตามินเค: ช่วยในกระบวนการแข็งตัวของเลือด
- แคลเซียม: ประมาณ 30 มิลลิกรัม
- โซเดียม: ปริมาณขึ้นอยู่กับการใช้เกลือ
ประโยชน์ต่อสุขภาพของกิมจิ
- ส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร
กิมจิเป็นแหล่งที่ดีของโปรไบโอติกส์ ซึ่งเป็นแบคทีเรียดีที่เกิดจากกระบวนการหมัก โปรไบโอติกส์ช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ ส่งเสริมการย่อยอาหาร ลดปัญหาท้องผูก และอาการท้องอืด - เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
กิมจิอุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคและการติดเชื้อได้ดีขึ้น - ส่งเสริมสุขภาพหัวใจ
กระบวนการหมักของกิมจิสามารถลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด และช่วยลดความดันโลหิตได้ การบริโภคกิมจิในปริมาณที่เหมาะสมสามารถช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ - มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ
กิมจิประกอบไปด้วยสารอาหารที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งสามารถช่วยลดอาการอักเสบภายในร่างกาย ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคข้ออักเสบและโรคหัวใจ - ช่วยลดน้ำหนัก
กิมจิเป็นอาหารที่มีแคลอรีต่ำและไฟเบอร์สูง ช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน โดยไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม นอกจากนี้ยังมีสารอาหารที่ช่วยเสริมกระบวนการเผาผลาญไขมันในร่างกาย - เสริมสร้างสุขภาพผิว
สารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินในกิมจิช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย และทำให้ผิวพรรณดูสดใส นอกจากนี้ โปรไบโอติกส์ยังช่วยปรับสมดุลของผิว ลดการเกิดสิวและการระคายเคือง - ช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็ง
ส่วนผสมของกิมจิ เช่น กระเทียม ขิง และพริก มีสารต้านอนุมูลอิสระและสารประกอบที่ช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งในร่างกาย - ส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท
กิมจิอุดมไปด้วยวิตามินบี เช่น วิตามินบี2 และวิตามินบี6 ซึ่งมีความสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาท ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมองและความจำ

ข้อควรระวัง
- กิมจิมีปริมาณโซเดียมสูง เนื่องจากใช้เกลือในการหมัก ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาเรื่องความดันโลหิตสูง ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม
- การบริโภคกิมจิที่หมักนานเกินไปอาจทำให้รสชาติเปรี้ยวเกินและมีปริมาณโปรไบโอติกส์ที่มากเกินไป ควรบริโภคในช่วงเวลาที่เหมาะสม
สรุป
กิมจิเป็นอาหารที่ผสมผสานทั้งความอร่อยและประโยชน์ต่อสุขภาพได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังสะท้อนถึงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนเกาหลีอย่างลึกซึ้ง การทำกิมจิไม่ใช่แค่การหมักผัก แต่เป็นการเชื่อมต่อระหว่างรุ่นสู่รุ่น และยังคงเป็นสัญลักษณ์ที่ยั่งยืนของวัฒนธรรมอาหารที่มีความเป็นเอกลักษณ์ในระดับสากล
ถ้าคุณต้องการยืดอายุของอาหารเราขอแนะนำ เครื่องซีลสูญญากาศ ปิดถุง ซีลถุง
เครื่องซีลสูญญากาศ (Vacuum Sealer)
เครื่องซีลสูญญากาศ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการปิดถุงอาหารโดยการดูดอากาศออกจากถุง ก่อนที่จะทำการซีลปิด เพื่อป้องกันการเกิดออกซิเดชันและการเจริญเติบโตของเชื้อโรค ซึ่งช่วยรักษาคุณภาพและยืดอายุการเก็บรักษาอาหารให้ยาวนานขึ้น
ประโยชน์ของเครื่องซีลสูญญากาศ
- ยืดอายุการเก็บรักษา: การดูดอากาศออกจากถุงอาหารช่วยลดการเกิดออกซิเดชันและป้องกันการเน่าเสีย ทำให้สามารถเก็บอาหารได้นานขึ้น โดยเฉพาะอาหารที่มีน้ำมันหรือที่มีแนวโน้มจะเน่าเสียง่าย
- ประหยัดพื้นที่: เมื่อถุงอาหารถูกซีลสูญญากาศ จะช่วยลดขนาดของถุงลง ทำให้ประหยัดพื้นที่ในการเก็บในตู้เย็นหรือตู้แช่แข็ง
- ป้องกันกลิ่นและรสชาติ: การซีลถุงจะช่วยป้องกันกลิ่นของอาหารจากการแพร่กระจายออกไปและรักษารสชาติของอาหารไว้ได้อย่างดี
- ป้องกันการเกิดน้ำแข็ง: สำหรับอาหารที่เก็บในช่องแช่แข็ง การซีลสูญญากาศช่วยป้องกันการเกิดน้ำแข็งเกาะบนอาหาร (Freezer Burn) ทำให้รักษาคุณภาพของอาหารไว้ได้ดีขึ้น
- สะดวกในการจัดเก็บ: สามารถจัดเก็บอาหารในปริมาณที่เหมาะสมและใช้ได้ตามต้องการ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเน่าเสีย
วิธีการใช้เครื่องซีลสูญญากาศ
- เตรียมอาหาร: ใส่อาหารที่ต้องการเก็บในถุงซิปล็อกหรือถุงซีลที่เหมาะสม
- วางถุงในเครื่อง: วางถุงอาหารลงในช่องซีลของเครื่องซีลสูญญากาศ โดยให้แน่ใจว่าปากถุงอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
- เลือกโหมดการทำงาน: บางรุ่นสามารถเลือกโหมดการทำงาน เช่น การซีลแบบเปียกหรือแห้ง ขึ้นอยู่กับประเภทของอาหาร
- เริ่มทำงาน: กดปุ่มเริ่มทำงาน เครื่องจะดูดอากาศออกจากถุงและทำการซีลปากถุงให้แน่น
- เก็บอาหาร: เมื่องานเสร็จสิ้น สามารถเก็บถุงอาหารที่ซีลสูญญากาศไว้ในตู้เย็นหรือตู้แช่แข็งได้ทันที
ข้อควรระวังในการใช้งาน
- ใช้ถุงที่เหมาะสม: ควรใช้ถุงที่ออกแบบมาสำหรับการซีลสูญญากาศเท่านั้น เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ
- ระวังอาหารที่มีความชื้น: หากอาหารมีความชื้นสูง ควรเช็ดให้แห้งก่อนใส่ถุงเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในระหว่างการซีล
- ตรวจสอบเครื่อง: ควรตรวจสอบสภาพของเครื่องก่อนใช้งาน เช่น สายไฟและส่วนประกอบต่างๆ เพื่อความปลอดภัย