
พริกแกง ถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำอาหารไทยที่ต้องการรสชาติเข้มข้นและมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะเมนูแกงต่างๆ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแกงเผ็ด แกงเขียวหวาน หรือแกงส้ม พริกแกงเป็นส่วนผสมหลักที่ไม่อาจขาดได้ ด้วยการผสมผสานของเครื่องเทศและสมุนไพรไทย ทำให้พริกแกงแต่ละสูตรมีรสชาติและกลิ่นที่แตกต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาคและความชื่นชอบของแต่ละครัวเรือน
บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ 10 สูตรพริกแกงพื้นบ้านไทย ที่สามารถทำเองได้ง่ายๆ ที่บ้าน เพื่อให้คุณสามารถปรุงเมนูอาหารไทยรสชาติกลมกล่อมได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็นพริกแกงเผ็ดสำหรับทำแกงเผ็ด หรือพริกแกงส้มสำหรับแกงส้มที่สดชื่น เราได้รวบรวมสูตรเด็ดเหล่านี้เพื่อให้คุณได้สัมผัสความอร่อยแบบไทยแท้
ประวัติและความเป็นมาของพริกแกงไทย
พริกแกงเป็นส่วนประกอบหลักในครัวไทยที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน โดยรากเหง้าของการใช้พริกแกงในอาหารไทยนั้นย้อนกลับไปหลายร้อยปี เมื่อพริกได้รับการนำเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากทวีปอเมริกาใต้ในช่วงศตวรรษที่ 16 พริกถูกนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแกงอย่างรวดเร็ว และผสมผสานเข้ากับสมุนไพรและเครื่องเทศไทยดั้งเดิม เช่น ข่า ตะไคร้ หอมแดง กระเทียม ผิวมะกรูด และกะปิ ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่ใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณ
แต่เดิมก่อนมีการนำพริกเข้ามา คนไทยใช้พืชสมุนไพรอื่น ๆ เช่น ขิง และกระชายเพื่อเพิ่มรสเผ็ดให้กับอาหาร การเข้ามาของพริกทำให้รสชาติเผ็ดกลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญของอาหารไทยหลากหลายเมนู และจากนั้นก็เริ่มมีการปรับสูตรพริกแกงตามวัตถุดิบและเครื่องเทศที่มีในแต่ละภูมิภาค เช่น พริกแกงใต้จะมีรสเผ็ดและหอมขมิ้น ขณะที่พริกแกงเหนือมักใช้เครื่องเทศท้องถิ่นที่ไม่เน้นรสจัด
พริกแกงจึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของอาหารไทย โดยมีการแบ่งประเภทของพริกแกงออกเป็นหลายชนิดตามวัตถุดิบและวิธีการปรุง เช่น พริกแกงเผ็ด พริกแกงเขียวหวาน พริกแกงส้ม และพริกแกงมัสมั่น ซึ่งต่างก็มีเอกลักษณ์และรสชาติที่เฉพาะตัว และมีการปรับสูตรต่อๆ มาให้เข้ากับเมนูอาหารที่แตกต่างกัน
ทุกวันนี้ พริกแกงยังคงเป็นหนึ่งในเครื่องปรุงที่ขาดไม่ได้ในอาหารไทย และยังคงสืบทอดรสชาติดั้งเดิมผสมผสานกับนวัตกรรมการปรุงอาหารใหม่ ๆ โดยพริกแกงแต่ละสูตรที่ใช้ในครัวไทยไม่ได้มีเพียงแค่การให้รสเผ็ดและกลิ่นหอม แต่ยังสะท้อนถึงวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของชุมชนในแต่ละภูมิภาคของประเทศไทย
1. พริกแกงเผ็ด
พริกแกงเผ็ด เป็นพริกแกงพื้นฐานที่ใช้มากที่สุดในอาหารไทย โดยมักนำไปใช้ทำแกงเผ็ดต่างๆ เช่น แกงเผ็ดไก่, แกงเผ็ดหมู, หรือแม้กระทั่งพะแนง ซึ่งพริกแกงเผ็ดมีรสชาติที่เผ็ด หอมเครื่องเทศ และสมุนไพรที่โดดเด่น

2. พริกแกงเขียวหวาน
พริกแกงเขียวหวาน เป็นพริกแกงยอดนิยมอีกชนิดหนึ่งในครัวไทย มีเอกลักษณ์ด้วยสีเขียวและกลิ่นหอมของสมุนไพร นิยมนำไปใช้ทำเมนูแกงเขียวหวานไก่ หรือแกงเขียวหวานหมู ซึ่งมีรสชาติเผ็ดร้อนแบบนุ่มนวลและกลมกล่อม

วัตถุดิบ
- พริกชี้ฟ้าสีเขียว (ซอยหยาบ) – 10 เม็ด
- พริกขี้หนูสีเขียว (ซอยหยาบ) – 5 เม็ด
- กระเทียม – 5 กลีบ
- หอมแดง – 3 หัว
- ข่า (ซอยละเอียด) – 1 ช้อนชา
- ตะไคร้ (ซอยละเอียด) – 2 ต้น
- ผิวมะกรูด (ซอยละเอียด) – 1 ช้อนชา
- รากผักชี (ซอย) – 1 ช้อนชา
- พริกไทยขาวเม็ด – 1 ช้อนชา
- ลูกผักชีคั่ว – 1 ช้อนชา
- ยี่หร่าคั่ว – 1/2 ช้อนชา
- กะปิ – 1 ช้อนชา
- เกลือ – 1/2 ช้อนชา
ขั้นตอนการทำ
- เตรียมวัตถุดิบ: นำพริกชี้ฟ้าและพริกขี้หนูสีเขียวมาซอยหยาบเพื่อเตรียมสำหรับโขลก จากนั้นเตรียมสมุนไพรอื่นๆ อย่างตะไคร้ ข่า ผิวมะกรูด และรากผักชี โดยซอยให้ละเอียด
- โขลกเครื่องเทศ: เริ่มโขลกพริกไทยขาวเม็ด ลูกผักชี และยี่หร่าในครกจนละเอียดดี จากนั้นใส่รากผักชี ตะไคร้ และข่าลงไปโขลกต่อจนเนียน
- โขลกพริกและสมุนไพร: เมื่อโขลกเครื่องเทศจนละเอียดแล้ว ใส่พริกชี้ฟ้าและพริกขี้หนูที่เตรียมไว้ลงไปโขลกต่อ ตามด้วยหอมแดง กระเทียม และผิวมะกรูด โขลกจนส่วนผสมทุกอย่างเข้ากันดีและละเอียด
- เติมกะปิและเกลือ: ใส่กะปิและเกลือลงไปในครก แล้วโขลกต่อจนเนื้อพริกแกงเขียวหวานเนียนละเอียด และกลิ่นหอมฟุ้ง
- ปรับเนื้อสัมผัส: หากส่วนผสมแห้งเกินไป สามารถเติมน้ำเล็กน้อยเพื่อให้เนื้อพริกแกงเนียนขึ้น
- พร้อมใช้: เมื่อพริกแกงเขียวหวานโขลกเสร็จแล้ว สามารถนำไปใช้ทันทีในการทำแกงเขียวหวานไก่ แกงเขียวหวานเนื้อ หรืออาหารจานอื่นๆ หรือเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อใช้ในครั้งถัดไป
พริกแกงเขียวหวานที่ทำเองจะมีกลิ่นหอมสดชื่นจากพริกสดและสมุนไพร ทำให้อาหารที่ปรุงด้วยพริกแกงเขียวหวานมีรสชาติกลมกล่อมและเข้มข้น
3. พริกแกงพะแนง
พริกแกงพะแนง เป็นพริกแกงที่มีรสชาติเข้มข้นและกลิ่นหอมจากเครื่องเทศ นิยมใช้ทำอาหารไทยอย่าง “พะแนงหมู” หรือ “พะแนงเนื้อ” ซึ่งมีรสชาติหวานมันและเผ็ดพอเหมาะ

วัตถุดิบหลักของซาชิมิ
-
ปลาและอาหารทะเลสด (Neta)
- ปลาดิบที่นิยมใช้ ได้แก่ แซลมอน (Sake), ทูน่า (Maguro), ปลาหมึก (Ika), กุ้ง (Ebi) และหอยเชลล์ (Hotate)
- นอกจากปลาดิบ ยังมีเนื้อสัตว์อื่น ๆ ที่สามารถใช้ทำซาชิมิได้ เช่น เนื้อม้า (Basashi) หรือไก่บางส่วนที่ผ่านการทำให้สุกเล็กน้อย
-
เครื่องปรุงและเครื่องเคียง
- โชยุ (Shoyu): ซอสถั่วเหลืองญี่ปุ่นที่ใช้สำหรับจิ้มซาชิมิ เพิ่มความเค็มและเข้มข้นให้กับรสชาติของปลา
- วาซาบิ (Wasabi): พืชรสเผ็ดเฉพาะตัวที่มีคุณสมบัติช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อาจเกิดจากการทานปลาดิบ
- ขิงดอง (Gari): ใช้ทำความสะอาดรสชาติในปากระหว่างการรับประทานซาชิมิชิ้นต่าง ๆ
- ไดกอน (Daikon): หัวไชเท้าญี่ปุ่นขูดฝอยที่มักเสิร์ฟพร้อมซาชิมิเพื่อเพิ่มความสดชื่น
ขั้นตอนการทำซาชิมิ
-
เลือกวัตถุดิบ
- วัตถุดิบที่ใช้ทำซาชิมิต้องสดใหม่มากที่สุด การเลือกปลาสำหรับซาชิมิต้องเป็นปลาที่มีคุณภาพสูงและมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้
- ปลาและอาหารทะเลที่ใช้ควรผ่านกระบวนการทำความสะอาดและการจัดเก็บที่ถูกสุขลักษณะ เพื่อรักษาความสดและคุณภาพ
-
การหั่นปลา
- ซาชิมิต้องหั่นอย่างพิถีพิถัน โดยใช้มีดที่คมและสะอาด มีดที่คมช่วยให้สามารถหั่นปลาได้เป็นชิ้นบาง ๆ โดยไม่ทำให้เนื้อปลาเสียหายและคงความสวยงามของเนื้อปลา
- ขนาดและความหนาของชิ้นซาชิมิจะแตกต่างกันตามชนิดของปลา เช่น ปลาทูน่าหรือแซลมอนจะหั่นเป็นชิ้นหนาพอดีคำ ขณะที่ปลาหมึกอาจหั่นบางกว่า
-
การจัดเสิร์ฟ
- วางชิ้นซาชิมิบนจานให้สวยงาม โดยอาจจัดเสิร์ฟพร้อมไดกอนขูดฝอย ใบชิโสะ (ใบญี่ปุ่นที่มีกลิ่นหอม) และวาซาบิที่จัดแต่งเป็นก้อนเล็ก ๆ
- เสิร์ฟพร้อมโชยุและขิงดอง เพื่อให้ผู้รับประทานสามารถจิ้มตามชอบ
เคล็ดลับในการทำซาชิมิให้อร่อย
- ความสดของวัตถุดิบ: ความสดเป็นหัวใจสำคัญของซาชิมิ ควรใช้ปลาที่สดใหม่ที่สุดและผ่านการแช่เย็นในอุณหภูมิที่เหมาะสม
- การหั่นปลา: การหั่นปลาต้องใช้ทักษะ โดยเฉพาะการใช้มีดเพื่อให้เนื้อปลายังคงความสวยงาม ไม่แตกหรือละลายเมื่อสัมผัสกับอุณหภูมิในอากาศ
- การเลือกซอสและเครื่องเคียง: การเลือกเครื่องเคียงที่เหมาะสม เช่น วาซาบิที่สดใหม่ หรือโชยุที่มีคุณภาพ จะช่วยเสริมรสชาติของซาชิมิ
ประเภทของซาชิมิยอดนิยม
- แซลมอน (Sake Sashimi): แซลมอนเป็นปลาที่นิยมมากที่สุดในการทำซาชิมิ เนื้อปลามีสีส้มสวยงามและรสชาติมันนุ่ม
- ทูน่า (Maguro Sashimi): ปลาทูน่ามีหลายส่วน เช่น อากามิ (ส่วนที่ไม่มีไขมัน), โอโทโร่ (ส่วนที่มีไขมันมาก) เนื้อปลานุ่มและเข้มข้น
- ปลาหมึก (Ika Sashimi): เนื้อปลาหมึกกรุบกรอบและมีรสหวานอ่อน ๆ มักเสิร์ฟพร้อมโชยุและวาซาบิ
- หอยเชลล์ (Hotate Sashimi): เนื้อหอยเชลล์สดใหม่ มีรสหวานและเนื้อนุ่ม ละลายในปากได้ง่าย
วัฒนธรรมการกินซาชิมิ
การรับประทานซาชิมิในญี่ปุ่นไม่เพียงเป็นเรื่องของการชื่นชมรสชาติ แต่ยังเป็นการแสดงความเคารพต่อวัตถุดิบสดใหม่ โดยการกินซาชิมิจะต้องให้ความสำคัญกับรสชาติธรรมชาติของปลาและความสะอาด นอกจากนี้ การจุ่มปลาในโชยุและวาซาบิแต่พอดีจะช่วยรักษารสชาติของปลาไม่ให้ถูกกลบรส
ซาชิมิเป็นอาหารที่แสดงถึงความพิถีพิถันในการเลือกวัตถุดิบและการเตรียมที่ละเอียดอ่อน พร้อมทั้งสะท้อนถึงวัฒนธรรมการกินที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งในรสชาติ
4. พริกแกงมัสมั่น
พริกแกงมัสมั่น เป็นพริกแกงที่มีรสชาติหวานมันและเผ็ดน้อยกว่าพริกแกงประเภทอื่น นิยมใช้ทำเมนูอาหารไทยที่มีชื่อเสียงอย่าง “มัสมั่นเนื้อ” หรือ “มัสมั่นไก่” ซึ่งจะมีส่วนผสมของเครื่องเทศที่หลากหลาย ทำให้มีรสชาติที่เข้มข้นและกลิ่นหอม

วัตถุดิบ
- พริกแห้งเม็ดใหญ่ (แช่น้ำจนนิ่ม) – 10-12 เม็ด
- กระเทียม – 6 กลีบ
- หอมแดง – 5 หัว
- ข่า (ซอยละเอียด) – 1 ช้อนชา
- ตะไคร้ (ซอยละเอียด) – 1 ต้น
- ผิวมะกรูด (ซอยละเอียด) – 1 ช้อนชา
- รากผักชี (หั่น) – 1 ช้อนชา
- พริกไทยขาวเม็ด – 1 ช้อนชา
- ลูกผักชีคั่ว – 1 ช้อนชา
- ยี่หร่าคั่ว – 1 ช้อนชา
- อบเชย (ผงหรือแท่ง) – 1/2 ช้อนชา
- กานพลู (ผงหรือแท่ง) – 1/2 ช้อนชา
- กะปิ – 1 ช้อนชา
- น้ำตาลปี๊บ – 1-2 ช้อนชา (ปรับตามความชอบ)
- เกลือ – 1/2 ช้อนชา
ขั้นตอนการทำ
- เตรียมวัตถุดิบ: แช่พริกแห้งในน้ำอุ่นจนพริกนิ่ม (ประมาณ 10 นาที) จากนั้นหั่นส่วนผสมที่เป็นสมุนไพร เช่น ตะไคร้ ข่า ผิวมะกรูด และรากผักชี
- โขลกเครื่องเทศ: เริ่มจากการโขลกพริกไทยขาวและลูกผักชีคั่วจนละเอียด จากนั้นใส่รากผักชี ตะไคร้ และข่าโขลกต่อจนเข้ากันดี
- ใส่พริกและสมุนไพร: เมื่อเครื่องเทศละเอียดดีแล้ว ให้ใส่พริกแห้งที่เตรียมไว้ลงไป ตามด้วยหอมแดงและกระเทียม จากนั้นโขลกทุกอย่างให้เข้ากันจนเนื้อเนียน
- เติมส่วนผสมที่เหลือ: ใส่ผิวมะกรูด กะปิ น้ำตาลปี๊บ เกลือ อบเชย และกานพลูลงไปในครก แล้วโขลกจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดีและละเอียด
- ปรับรสชาติและเนื้อสัมผัส: หากพริกแกงมีเนื้อแห้งหรือหยาบเกินไป สามารถเติมน้ำเล็กน้อยเพื่อให้เนื้อพริกแกงเนียนขึ้น
- พร้อมใช้: เมื่อได้พริกแกงมัสมั่นที่มีสีสันสวยงามและกลิ่นหอม สามารถนำไปใช้ในการทำมัสมั่นเนื้อ มัสมั่นไก่ หรืออาหารจานอื่นๆ ได้ตามต้องการ
การทำพริกแกงมัสมั่นเองจะทำให้ได้รสชาติและกลิ่นที่เข้มข้น หอมอบอวล และให้ความรู้สึกพิเศษแก่ทุกเมนูที่ปรุงด้วย
5. พริกแกงคั่ว
พริกแกงคั่ว เป็นพริกแกงที่มีรสชาติกลมกล่อม และมักใช้ในการทำอาหารจานเดียวที่ไม่มีกระบวนการต้มเป็นหลัก เช่น “ข้าวผัดกะปิ” หรือ “คั่วกลิ้ง” โดยพริกแกงชนิดนี้มักจะมีความเผ็ดพอสมควรและมีความหอมของเครื่องเทศที่โดดเด่น

วัตถุดิบ
- พริกแห้งเม็ดใหญ่ (แช่น้ำจนนิ่ม) – 8-10 เม็ด
- กระเทียม – 6 กลีบ
- หอมแดง – 4 หัว
- ข่า (ซอยละเอียด) – 1 ช้อนชา
- ตะไคร้ (ซอยละเอียด) – 1 ต้น
- ผิวมะกรูด (ซอยละเอียด) – 1 ช้อนชา
- รากผักชี (หั่น) – 1 ช้อนชา
- พริกไทยขาวเม็ด – 1 ช้อนชา
- ลูกผักชีคั่ว – 1 ช้อนชา
- ยี่หร่าคั่ว – 1 ช้อนชา
- กะปิ – 1 ช้อนชา
- เกลือ – 1/2 ช้อนชา
- น้ำตาลทราย – 1 ช้อนชา (เพื่อเพิ่มความหวานเล็กน้อย)
ขั้นตอนการทำ
- เตรียมวัตถุดิบ: แช่พริกแห้งในน้ำอุ่นจนพริกนิ่ม (ประมาณ 10 นาที) จากนั้นหั่นสมุนไพรอื่นๆ เช่น ตะไคร้ ข่า ผิวมะกรูด และรากผักชีให้เรียบร้อย
- โขลกเครื่องเทศ: เริ่มจากการโขลกพริกไทยขาวและลูกผักชีคั่วจนละเอียดดี จากนั้นใส่รากผักชี ตะไคร้ และข่าแล้วโขลกต่อจนละเอียด
- ใส่พริกและสมุนไพร: เมื่อเครื่องเทศละเอียดแล้ว ให้ใส่พริกแห้งที่เตรียมไว้ลงไป ตามด้วยหอมแดงและกระเทียม จากนั้นโขลกทุกอย่างให้เข้ากันจนละเอียด
- เติมส่วนผสมที่เหลือ: ใส่ผิวมะกรูด กะปิ เกลือ และน้ำตาลทรายลงไปในครกแล้วโขลกต่อให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี
- ปรับรสชาติและเนื้อสัมผัส: หากพริกแกงมีเนื้อแห้งหรือหยาบเกินไป สามารถเติมน้ำเล็กน้อยเพื่อให้เนื้อพริกแกงเนียนขึ้นได้
- พร้อมใช้: เมื่อได้พริกแกงคั่วที่มีกลิ่นหอมและรสชาติกลมกล่อม สามารถนำไปใช้ในการทำอาหารจานเดียว เช่น ข้าวผัดกะปิ หรือใช้ในการทำคั่วกลิ้ง ซึ่งจะทำให้อาหารมีรสชาติเข้มข้นและหอมละมุน
การทำพริกแกงคั่วเองจะช่วยให้คุณได้รสชาติและกลิ่นหอมที่สดใหม่กว่า และสามารถปรับสูตรให้เข้ากับความชอบส่วนตัวได้อย่างอิสระ
6. พริกแกงส้ม
พริกแกงส้ม เป็นพริกแกงที่มีรสชาติเปรี้ยว เผ็ด และหวานเล็กน้อย เหมาะสำหรับทำแกงส้มอาหารทะเล เช่น “แกงส้มกุ้ง” หรือ “แกงส้มปลาหมาย” โดยพริกแกงส้มมักมีส่วนผสมของมะนาวหรือมะขามเปียกเพื่อเพิ่มความเปรี้ยวและทำให้แกงมีรสชาติสดชื่น

7. พริกแกงกะหรี่
พริกแกงกะหรี่ เป็นพริกแกงที่มีกลิ่นหอมและรสชาติที่เผ็ดร้อน ปกติจะใช้ในการทำเมนูอาหารไทยที่มีส่วนผสมของกะหรี่ เช่น “แกงกะหรี่ไก่” หรือ “แกงกะหรี่เนื้อ” ซึ่งมักจะมีความหวานมันและมีรสชาติที่เข้มข้น



วัตถุดิบ
- พริกแห้งเม็ดใหญ่ (แช่น้ำจนนิ่ม) – 5-7 เม็ด
- พริกขี้หนูเหลือง – 3-5 เม็ด (ปรับตามความชอบ)
- กระเทียม – 6 กลีบ
- หอมแดง – 4 หัว
- ข่า (ซอยละเอียด) – 1 ช้อนชา
- ตะไคร้ (ซอยละเอียด) – 1 ต้น
- ผิวมะกรูด (ซอยละเอียด) – 1 ช้อนชา
- รากผักชี (หั่น) – 1 ช้อนชา
- พริกไทยขาวเม็ด – 1 ช้อนชา
- ลูกผักชีคั่ว – 1 ช้อนชา
- ยี่หร่าคั่ว – 1 ช้อนชา
- ขมิ้นสด (หรือผงขมิ้น) – 1 ช้อนชา
- เกลือ – 1/2 ช้อนชา
- น้ำตาลปี๊บ – 1 ช้อนชา (ปรับตามความชอบ)
ขั้นตอนการทำ
- เตรียมวัตถุดิบ: แช่พริกแห้งในน้ำอุ่นจนพริกนิ่ม (ประมาณ 10 นาที) จากนั้นซอยสมุนไพรอื่นๆ เช่น ตะไคร้ ข่า ผิวมะกรูด และรากผักชีให้เรียบร้อย
- โขลกเครื่องเทศ: เริ่มจากการโขลกพริกไทยขาวและลูกผักชีคั่วจนละเอียดดี จากนั้นใส่รากผักชี ตะไคร้ ข่า และผิวมะกรูดแล้วโขลกต่อจนละเอียด
- ใส่พริกและสมุนไพร: เมื่อเครื่องเทศละเอียดดีแล้ว ให้ใส่พริกแห้งและพริกขี้หนูเหลืองที่เตรียมไว้ลงไป ตามด้วยหอมแดงและกระเทียม จากนั้นโขลกทุกอย่างให้เข้ากันจนละเอียด
- เพิ่มส่วนผสมที่เหลือ: ใส่ขมิ้น เกลือ และน้ำตาลปี๊บลงไปในครกแล้วโขลกจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี
- ปรับรสชาติ: หากพริกแกงมีความแห้งหรือหยาบเกินไป สามารถเติมน้ำเล็กน้อยเพื่อให้เนื้อพริกแกงเนียนขึ้นได้
- พร้อมใช้: เมื่อได้พริกแกงเหลืองที่มีกลิ่นหอมและรสชาติกลมกล่อม สามารถนำไปใช้ในการทำแกงเหลือง แกงไตปลา หรือใช้ในเมนูอาหารอื่นๆ ที่ต้องการรสชาติที่ไม่จัดจนเกินไป
การทำพริกแกงเหลืองเองจะช่วยให้ได้รสชาติและกลิ่นหอมที่สดใหม่ ซึ่งจะทำให้อาหารของคุณมีความอร่อยและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

วัตถุดิบ
- พริกแห้งเม็ดใหญ่ (แช่น้ำจนนิ่ม) – 5-7 เม็ด
- พริกขี้หนู (ตามชอบ) – 3-5 เม็ด
- กระเทียม – 6 กลีบ
- หอมแดง – 4 หัว
- ขิง (ซอยละเอียด) – 1 ช้อนชา
- ตะไคร้ (ซอยละเอียด) – 1 ต้น
- ขมิ้นสด (หรือผงขมิ้น) – 1 ช้อนชา
- รากผักชี (หั่น) – 1 ช้อนชา
- กะปิ – 1 ช้อนชา
- น้ำตาลปี๊บ – 1 ช้อนชา (ปรับตามความชอบ)
- ซอสถั่วเหลือง – 1 ช้อนโต๊ะ
- เกลือ – 1/2 ช้อนชา
ขั้นตอนการทำ
- เตรียมวัตถุดิบ: แช่พริกแห้งในน้ำอุ่นจนพริกนิ่ม จากนั้นซอยสมุนไพรอื่น ๆ เช่น ขิง ตะไคร้ และหอมแดงให้เรียบร้อย
- โขลกเครื่องเทศ: เริ่มจากการโขลกพริกแห้งและพริกขี้หนูจนละเอียด ตามด้วยกระเทียมและหอมแดง
- เพิ่มสมุนไพร: ใส่ขิง ตะไคร้ รากผักชี และขมิ้นลงไปโขลกให้เข้ากัน
- เพิ่มกะปิและรสชาติ: ใส่กะปิ น้ำตาลปี๊บ ซอสถั่วเหลือง และเกลือลงไปโขลกจนละเอียด
- ปรับรสชาติ: หากต้องการให้พริกแกงเนียนขึ้น สามารถเติมน้ำเล็กน้อยได้
- พร้อมใช้: ใช้พริกแกงฮังเลที่ได้ในการทำแกงฮังเล โดยสามารถใช้กับเนื้อหมู เนื้อไก่ หรือเนื้อสัตว์อื่น ๆ ตามชอบ
พริกแกงฮังเลไม่เพียงแต่มีรสชาติที่อร่อย แต่ยังสะท้อนถึงวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ในอาหารภาคเหนือของไทยอย่างชัดเจน
เอกลักษณ์ของพริกแกง
พริกแกงถือเป็นหนึ่งในส่วนประกอบที่สำคัญและเป็นเอกลักษณ์ของอาหารไทย ที่มีความหลากหลายทั้งในเรื่องของรสชาติและวิธีการทำ โดยเอกลักษณ์ของพริกแกงประกอบด้วยลักษณะดังนี้:
- รสชาติที่หลากหลาย:
- พริกแกงมีรสชาติที่แตกต่างกันออกไป เช่น เผ็ด เปรี้ยว หวาน เค็ม ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่ใช้และสูตรที่ปรุง โดยมีความเข้มข้นและกลมกล่อม ซึ่งสามารถปรับรสชาติได้ตามความชอบของแต่ละคน
- วัตถุดิบจากธรรมชาติ:
- พริกแกงทำจากวัตถุดิบสดใหม่ เช่น พริก ข่า ตะไคร้ กระเทียม หอมแดง และสมุนไพรต่างๆ ซึ่งช่วยเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการและให้กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์
- วิธีการโขลก:
- การทำพริกแกงมักใช้วิธีการโขลกในครกด้วยมือ ทำให้ได้เนื้อสัมผัสที่เข้มข้นและกลมกลืนกันของเครื่องเทศ นอกจากนี้ยังช่วยให้กลิ่นหอมของเครื่องเทศกระจายออกมาได้ดี
- การใช้งานที่หลากหลาย:
- พริกแกงสามารถนำไปใช้ในการทำอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น แกงต่างๆ, ต้มยำ, ผัด, หรือใช้เป็นส่วนผสมในการหมักเนื้อสัตว์ ซึ่งทำให้พริกแกงเป็นส่วนสำคัญของการปรุงอาหารไทย
- การแสดงออกถึงวัฒนธรรม:
- พริกแกงสะท้อนถึงวัฒนธรรมการกินของไทย ที่ให้ความสำคัญกับการปรุงรสที่หลากหลาย โดยมีการปรับเปลี่ยนและสร้างสรรค์สูตรใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อให้เข้ากับวัตถุดิบท้องถิ่นและฤดูกาล
- กลิ่นหอม:
- พริกแกงมักมีความหอมของเครื่องเทศและสมุนไพรที่ใช้ ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดในการรับประทานอาหาร การทำพริกแกงสดใหม่ช่วยให้กลิ่นหอมนี้คงอยู่ได้นาน
- วิธีการเก็บรักษา:
- พริกแกงสามารถเก็บรักษาได้ทั้งในรูปแบบสดและแห้ง โดยทั่วไปแล้วพริกแกงสดจะเก็บไว้ในตู้เย็นได้ประมาณ 1-2 สัปดาห์ ขณะที่พริกแกงแห้งสามารถเก็บได้นานหลายเดือน
เครื่องบดพริกแกง
เครื่องบดพริกแกง เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการเตรียมพริกแกงสำหรับการปรุงอาหารไทย ซึ่งมักใช้เครื่องเทศและสมุนไพรหลากชนิดเป็นส่วนผสม การบดด้วยเครื่องบดพริกแกงทำให้ได้เนื้อพริกแกงที่ละเอียด สม่ำเสมอ และช่วยลดเวลาและแรงงานเมื่อเปรียบเทียบกับการโขลกด้วยครกแบบดั้งเดิม